ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภาษาวรรณศิลป์"

จาก wikipedia
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
 
(ไม่แสดง 19 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
แถว 1: แถว 1:
1. ภาษาวรรณศิลป์คืออะไร
+
 
                      วรรณศิลป์  คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือ
+
 
ภาษาวรรณศิลป์  หมายถึง  ภาษาที่เป็นศิลปะ ใช้ในการแต่งหนังสือ
+
[[ไฟล์:Soontorn.jpg|center|320px]]
เป็นความงามทางการประพันธ์โดยเฉพาะ
+
 
2. ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์คืออย่างไร
+
 
ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์อาจจะจำแนกได้หลายแบบแต่ที่นับว่าสำคัญควรกล่าวถึงคือ
+
    ''' ภาษาวรรณศิลป์'''
      1. ไพเราะด้วยเสียงสัมผัสของคำ  ได้แก่
+
1. ภาษาวรรณศิลป์คืออะไร วรรณศิลป์   คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือ ภาษาวรรณศิลป์  หมายถึง  ภาษาที่เป็นศิลปะ ใช้ในการแต่งหนังสือ เป็นความงามทางการประพันธ์โดยเฉพาะ
                1.1  เสียงพยัญชนะสัมผัส  หมายถึง  ใช้พยัญชนะ
+
 
เสียงเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน วางเรียงติดกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น
+
2.  ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์คืออย่างไร ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์อาจจะจำแนกได้หลายแบบแต่ที่นับว่าสำคัญควรกล่าวถึงคือ
                            ก.  นกน้อยนอนแนบน้ำ                    ในนา
+
 
                                  ตมเตอะติดเต็มตาม                    ตื่นเต้น
+
:1.  ไพเราะด้วยเสียงสัมผัสของคำ  ได้แก่
                                            (โคลงโบราณ)
+
 
                1.2  เสียงสระสัมผัส  คือ เล่นเสียงสระเสียงเดียวกันสัมผัสกันนอกจากสัมผัสนอกอันเป็นสัมผัสบังคับแล้ว  สัมผัสในต่ละวรรคจะช่วยเพิ่มความไพเราะยิ่งขึ้น เช่น
+
::1.1  เสียงพยัญชนะสัมผัส   หมายถึง  ใช้พยัญชนะเสียงเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน วางเรียงติดกันหรือใกล้เคียงกัน
                            ก.  ดูหนูสู่รูงู                              งูสุดสู้หนูสู้งู
+
 
                                หนูงูสู้ดูอยู่                            รูปงูทู่หนูมูทู
+
::1.2  เสียงสระสัมผัส  คือ เล่นเสียงสระเสียงเดียวกันสัมผัสกันนอกจากสัมผัสนอกอันเป็นสัมผัสบังคับแล้วสัมผัสในต่ละวรรคจะช่วยเพิ่มความไพเราะยิ่งขึ้น
                                  (กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก – เจ้าฟ้ากุ้ง
+
 
                  1.3เสียงวรรณยุกต์สัมผัส (การเล่นเสียงวรรณยุกต์) คือ
+
::1.3เสียงวรรณยุกต์สัมผัส (การเล่นเสียงวรรณยุกต์)  คือการเล่นเสียงวรรณยุกต์ระดับต่างๆ ติดๆกัน
การเล่นเสียงวรรณยุกต์ระดับต่าง ๆ  ติด ๆ  กันเช่น
+
 
                            ก. เรือมาฟองฟ่องฟ้อน                  กลหงษ์
+
:2 . ไพเราะด้วยความหมาย  คือ  มีความหมายซาบซึ้ง
                                      (กำสรวลโคลงดั้น)
+
 
        2 . ไพเราะด้วยความหมาย  คือ  มีความหมายซาบซึ้ง  เช่น
+
:3 . อลังการทางภาษา อลังการ   แปลว่า  การตกแต่งหรือการประดับประดา หมายถึงการตกแต่งถ้อยคำให้ เหมาะเจาะเพริศพริ้งในแง่ต่าง ๆเพื่อความไพเราะทางภาษา การประดับประดาดังกล่าวนี้มีหลายแบบที่นับว่าสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ในการสร้างภาษาวรรณศิลป์ก็คือ
                          ก.    ตราบขุนศิริขัน              ขาดสลาย    แลเม่
+
 
                        รักบ่หายตราบหาย                    หกฟ้า
+
::3.1  การสร้างจินตภาพ   ได้แก่  การใช้ถ้อยคำที่เด่นทั้งเสียง
                      สุริยจันทรจาย                            จากโลก  ไปฤา
 
                    ไฟแล่นล้างสี่หล้า                        ห่อนล้างอาลัย
 
                                      (นิราศนรินทร)
 
      3 . อลังการทางภาษา
 
                อลังการ  แปลว่า  การตกแต่งหรือการประดับประดา 
 
หมายถึงการตกแต่งถ้อยคำให้ เหมาะเจาะเพริศพริ้งในแง่ต่าง
 
เพื่อความไพเราะทางภาษา การประดับประดาดังกล่าวนี้มีหลายแบบ
 
ที่นับว่าสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ในการสร้างภาษาวรรณศิลป์ก็คือ
 
              3.1  การสร้างจินตภาพ  ได้แก่  การใช้ถ้อยคำที่เด่นทั้งเสียง
 
 
และความหมายในการแต่งข้อความจนทำให้เห็นภาพเด่นชัดในจินตนาการ
 
และความหมายในการแต่งข้อความจนทำให้เห็นภาพเด่นชัดในจินตนาการ
ทั้งนี้โดยไม่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบ เป็นเครื่องช่วยเหลือแต่ประการใด
+
ทั้งนี้โดยไม่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบ เป็นเครื่องช่วยเหลือแต่ประการใด
ตัวอย่างเช่น
+
ตัวอย่างเช่น
                  ก. โอเวลาป่านฉะนี้ก็สายัณห์  คนทั้งหลายเขาเรียกกิน
+
 
อาหารบ้างก็เล้าโลมลูกหลานให้  อาบน้ำแล้วหลับนอน  แต่สองบังอร
+
:::ก.  โอเวลาป่านฉะนี้ก็สายัณห์  คนทั้งหลายเขาเรียกกิน
ของพ่อนี้ใครเขาจะปรานีให้นมน้ำ  ก็จะตรากตรำลำบากใจที่ไหน
+
อาหารบ้างก็เล้าโลมลูกหลานให้  อาบน้ำแล้วหลับนอน  แต่สองบังอร
จะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่าทั้งไอแดดจะแผดเผาพุพอง
+
ของพ่อนี้ใครเขาจะปรานีให้นมน้ำ  ก็จะตรากตรำลำบากใจที่ไหน
จะชอกช้ำคล้ำเป็นหนองลงลามไหล
+
จะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่าทั้งไอแดดจะแผดเผาพุพอง
                ข. เสียงนกกรวิกนั้นไซร์    แลมีเสียงอันไพเราะมากถูกเนื้อ
+
จะชอกช้ำคล้ำเป็นหนองลงลามไหล
พึงใจฝูงสัตว์ทั้งหลาย  แม้ว่าเสือจะเอาเนื้อไปกินก็ดี  ครั้งว่าได้ยินเสียง
+
 
นกกรวิกนั้นร้อง  ก็ลืมเสีย แลมิอาจเอาเนื้อไปกินได้เลย  แลเม้นว่าเด็กอัน
+
:::ข.  เสียงนกกรวิกนั้นไซร์    แลมีเสียงอันไพเราะมากถูกเนื้อ
ท่านใส่ตีแลแล่นหนี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้องก็บมีรู้สึกที่จักแล่นหนี
+
พึงใจฝูงสัตว์ทั้งหลาย   แม้ว่าเสือจะเอาเนื้อไปกินก็ดี  ครั้งว่าได้ยินเสียง
ได้เลย    แลว่านกทั้งหลายอันที่บินไปบนอากาศครั้งว่าได้ยินเสียงแห่ง
+
นกกรวิกนั้นร้อง  ก็ลืมเสีย แลมิอาจเอาเนื้อไปกินได้เลย  แลเม้นว่าเด็กอัน
นกกรวิกก็บมีรู้สึกที่จะบินไป ปลาในน้ำก็ดี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้อง
+
ท่านใส่ตีแลแล่นหนี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้องก็บมีรู้สึกที่จักแล่นหนี
ก็บมิรู้สึกที่ว่าจะว่ายไปได้เลย  แลว่าเสียงแห่งนกกรวิก
+
ได้เลย    แลว่านกทั้งหลายอันที่บินไปบนอากาศครั้งว่าได้ยินเสียงแห่ง
 +
นกกรวิกก็บมีรู้สึกที่จะบินไป ปลาในน้ำก็ดี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้อง
 +
ก็บมิรู้สึกที่ว่าจะว่ายไปได้เลย  แลว่าเสียงแห่งนกกรวิก
 
นั้นมันเพราะหนักหนา
 
นั้นมันเพราะหนักหนา
            3.2  การสร้างภาพพจน์  (Figvres of Speech)            
+
 
                        ได้แก่การใช้ถอยคำบรรยายหรือพรรณนาอย่างแจ่มแจ้ง
+
::3.2  การสร้างภาพพจน์  (Figvres of Speech)              
 +
ได้แก่การใช้ถอยคำบรรยายหรือพรรณนาอย่างแจ่มแจ้ง
 
จนกระทั่งอ่านหรือฟังแล้วและเห็นเป็นภาพเด่นชัด ทั้งนี้โดยอาศัย
 
จนกระทั่งอ่านหรือฟังแล้วและเห็นเป็นภาพเด่นชัด ทั้งนี้โดยอาศัย
การเปรียบเทียบแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยในการเปรียบเทียบมีหลาย
+
การเปรียบเทียบแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยในการเปรียบเทียบมีหลาย
แบบที่นับว่าใช้กันแพร่หลาย เช่น  
+
แบบที่นับว่าใช้กันแพร่หลาย เช่น
                        3.2.1  การเปรียบเทียบอุปมา  คือ  การนำสิ่งหนึ่งที่รู้จัก
+
 
กันดีแล้วมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง  เพื่อให้เห็นภาพชัดหรือ
+
:::3.2.1  การเปรียบเทียบอุปมา   คือ  การนำสิ่งหนึ่งที่รู้จัก
เข้าใจดียิ่งขึ้นการเปรียบเทียบแบบนี้มีหลักอยู่ว่าจะต้องมีตัวเชื่อมคือ  
+
กันดีแล้วมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง  เพื่อให้เห็นภาพชัดหรือ
บุพบทหรือสันธานอยู่เสมอ ได้แก่คำว่า  เหมือน  ดัง  ราว  ราวกับเพียง
+
เข้าใจดียิ่งขึ้นการเปรียบเทียบแบบนี้มีหลักอยู่ว่าจะต้องมีตัวเชื่อมคือ
เพียง  ดัง ปิ้ม  ปิ้ม่า  เฉกเช่น  ฉัน  เฉกเช่น  ประหนึ่ง  ประหนึ่งว่า  ดุจ
+
บุพบทหรือสันธานอยู่เสมอ ได้แก่คำว่า  เหมือน  ดัง  ราว  ราวกับเพียง
ดุจดัง  ประดุจ  เสมอ  เสมอด้วย  เสมือน  เสมือนหนึ่ง  ปาน
+
เพียง  ดัง ปิ้ม   ปิ้ม่า  เฉกเช่น  ฉัน  เฉกเช่น  ประหนึ่ง  ประหนึ่งว่า  ดุจ
ปิ้มบ่าน  ปานหนึ่ง  พ่าง  พ่างเพียง  เปรียบ  ฯลฯ
+
ดุจดัง  ประดุจ  เสมอ  เสมอด้วย  เสมือน  เสมือนหนึ่ง  ปาน
        ก. แล้วว่าอนิจจาความรัก              พึงประจักษ์ดังสายน้ำไหล
+
ปิ้มบ่าน  ปานหนึ่ง  พ่าง  พ่างเพียง  เปรียบ  ฯลฯ
            ตั้งแต่จะเชี่ยวไปเกลี่ยวไป          ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
+
 
        ข. โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ              เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์ขวัญ
+
:::3.2.2  การเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์
            เหมือนดวงดาววาววาวอยู่ไกลกัน ชิดสวรรค์สุดเอื้อมมาเขยชม
+
ได้แก่การเปรียบเทียบตรง ๆ  โดยใช้คำกริยา  “เป็น”  “หรือ” คือ
        ค. ยินพระยศเกริกเกรี้ยง                  เพียงพอแผ่นฟากฟ้า 
+
นำหน้าคำหรือข้อความที่จะนำมาเปรียบ
            หล้าล่มเลื่องชื่อส่อง
+
 
        ง. เสร็จเสวยศวรรเยศอ้าง          ไอศูรย์  สรวงฤา
+
:::3.2.3  การเปรียบเทียบแบบเกินความจริง  (โวหารอธิพจน์)
            เย็นพระยศปูนเดือน                เด่นฟ้า
+
เป็นการพรรณนาที่เกินขอบเขตของความจริง  อาจจะเป็นไปไม่ได้หรือไม่มี
        จ. เฌอปรางเปรียบนาฏน้อง      นวลปราง
 
            รักดุจรักนุชนาง                    พี่ม้วย
 
            ซ้องนางเฉกซ้องนาง            คลายคลี่  ล่งฤา
 
            โศกพี่โศกสมด้วย                  ดุจไม้นานมี
 
      ฉ.  รักกันอยู่ขอบฟ้า                    เขาเขียว
 
            เสมออยู่แห่งเดียว                  ร่วมห้อง
 
                      3.2.2  การเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์
 
            ได้แก่การเปรียบเทียบตรง ๆ  โดยใช้คำกริยา  “เป็น”  “หรือ”  คือ
 
นำหน้าคำหรือข้อความที่จะนำมาเปรียบ เช่น
 
            1. เขาคือสุนทรภู่ในปัจจุบันนี้
 
            2. หล่อนเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่
 
            3. ดวงตามคือหน้าต่างของหัวใจ
 
3.2.3  การเปรียบเทียบแบบเกินความจริง  (โวหารอธิพจน์)  
 
เป็นการพรรณนาที่เกินขอบเขตของความจริง  อาจจะเป็นไปไม่ได้หรือไม่มี
 
 
ทางจะเป็นไปได้แต่แม้กระนั้นก็น่าฟังเพราะทำให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจ
 
ทางจะเป็นไปได้แต่แม้กระนั้นก็น่าฟังเพราะทำให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจ
ทั้ง  ๆ  ที่รู้ว่าไม่เป็นจริง  เช่น
+
ทั้ง  ๆ  ที่รู้ว่าไม่เป็นจริง
            ก.  การบินไทย                    รักคุณเท่าฟ้า
+
 
            ข.  เรียมรำน้ำเนตรถ้วม          ถึงพรหม
+
:::3.2.4  บุคคลรัต   คือ ภาพพจน์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ
                พาล่ำสัตว์จ่อมจม              ชีพม้วย
+
โดยนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตมากกล่าวให้มีกริยาอาการเหมือนคน  เช่น  ทะเลไม่เคยหลับ
                พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม        ทบท่าว  ลงแฮ
+
หยาดน้ำค้างเต้นระบำ  เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น
                หากอกนิษฐพรหมฉ้วย        พี่ไว้จึงคง
+
 
                      3.2.4  บุคคลรัต  คือ ภาพพจน์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ
+
:::3.2.5  การใช้ภาษาสัญญลักษณ์   หมายถึง  การนำคำหนึ่งมา
โดยนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตมากกล่าวให้มีกริยาอาการเหมือนคน  เช่น  ทะเลไม่เคยหลับ
+
ใช้แทนอีกคำหนึ่ง โดยถือว่าคำที่นำมาใช้แทนนั้น  ต้องมีลักษณะเป็นเครื่องหมาย
หยาดน้ำค้างเต้นระบำ เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น
+
หรือสัญญลักษณ์ที่รู้จักและเข้าใจความหมายกันในอย่างด ีเช่น  ฉัตรเป็น
                      3.2.5  การใช้ภาษาสัญญลักษณ์  หมายถึง  การนำคำหนึ่งมา
+
สัญญลักษณ์ของความเป็นใหญ่  หรือดวงใจ เป็นสัญญลักษณ์ของสิ่งอันเป็น
ใช้แทนอีกคำหนึ่ง โดยถือว่าคำที่นำมาใช้แทนนั้น  ต้องมีลักษณะเป็นเครื่องหมาย
+
ที่รักอย่างยิ่งดังนี้  เป็นต้น
หรือสัญญลักษณ์ที่รู้จักและเข้าใจความหมายกันในอย่างด ีเช่น  ฉัตรเป็น
+
::::(ก)   ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชย์  เยียววิวาทชิงฉัตร
สัญญลักษณ์ของความเป็นใหญ่ หรือดวงใจ เป็นสัญญลักษณ์ของสิ่งอันเป็น
+
::::(ข)   โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ  เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์ขวัญ
ที่รักอย่างยิ่งดังนี้ เป็นต้น           
+
::::(ค)   น้าวมกุฎมานบ  น้อมพิภพมานอบ มอบบัวบาทวิบุล
            (ก)   ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชย์  เยียววิวาทชิงฉัตร
+
 
            (ข)   โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ      เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์ขวัญ
+
:::3.2.6 สัทพจน์   คือ  การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ  เช่น ครืนครืนใช่ฟ้าร้อง เรียมครวญ
            (ค)   น้าวมกุฎมานบ  น้อมพิภพมานอบ  
+
 
                    มอบบัวบาทวิบุล
+
:::3.2.7 อัพภาส   คือ  การกร่อนคำซ้ำให้พยางค์หน้าเหลือเพียงสระอะ เช่น ระริก ระริก
                  3.2.6 สัทพจน์  คือ  การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ  เช่น
+
 
ครืนครืนใช่ฟ้าร้อง เรียมครวญ
+
:::3.2.8 ปฏิพากย์ คือ  การใช้คำตรงกันข้าม  เช่น “เสียงน้ำกระซิบสาดปราศจากเสียง   ลมหนาวพัดอ้าวจนหนาวเหน็บเจ็บกระดูก”
                  3.2.7 อัพภาส  คือ  การกร่อนคำซ้ำให้พยางค์หน้าเหลือเพียงสระอะ เช่น
+
 
ระริก ระริก
+
:::3.2.9  คำถามเชิงวาทศิลป์
                  3.2.8 ปฏิพากย์ คือ  การใช้คำตรงกันข้าม  เช่น
+
::::-  คำถาม  ไม่ต้องการคำตอบ
“เสียงน้ำกระซิบสาดปราศจากเสียง  ลมหนาวพัดอ้าวจนหนาวเหน็บเจ็บกระดูก”
+
::::-  ศรีสุวรรณมิใช้อาของเจ้าหรือ
                  3.2.9 คำถามเชิงวาทศิลป์
+
::::-  วันนี้เรียนภาษาไทยไม่ใช่หรือ
                          - คำถาม  ไม่ต้องการคำตอบ
+
::::-  วันนี้เรียนพละมิใช่หรือ
                          - ศรีสุวรรณมิใช้อาของเจ้าหรือ
 
                        - วันนี้เรียนภาษาไทยไม่ใช่หรือ
 
                        - วันนี้เรียนพละมิใช่หรือ
 

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 07:04, 20 กันยายน 2562


Soontorn.jpg


    ภาษาวรรณศิลป์

1. ภาษาวรรณศิลป์คืออะไร วรรณศิลป์   คือ ศิลปะในการแต่งหนังสือ ภาษาวรรณศิลป์  หมายถึง  ภาษาที่เป็นศิลปะ ใช้ในการแต่งหนังสือ เป็นความงามทางการประพันธ์โดยเฉพาะ

2.  ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์คืออย่างไร ความไพเราะตามแบบวรรณศิลป์อาจจะจำแนกได้หลายแบบแต่ที่นับว่าสำคัญควรกล่าวถึงคือ

1.  ไพเราะด้วยเสียงสัมผัสของคำ  ได้แก่
1.1  เสียงพยัญชนะสัมผัส   หมายถึง  ใช้พยัญชนะเสียงเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน วางเรียงติดกันหรือใกล้เคียงกัน
1.2  เสียงสระสัมผัส  คือ เล่นเสียงสระเสียงเดียวกันสัมผัสกันนอกจากสัมผัสนอกอันเป็นสัมผัสบังคับแล้วสัมผัสในต่ละวรรคจะช่วยเพิ่มความไพเราะยิ่งขึ้น
1.3เสียงวรรณยุกต์สัมผัส (การเล่นเสียงวรรณยุกต์)  คือการเล่นเสียงวรรณยุกต์ระดับต่างๆ ติดๆกัน
2 . ไพเราะด้วยความหมาย  คือ  มีความหมายซาบซึ้ง
3 . อลังการทางภาษา อลังการ   แปลว่า  การตกแต่งหรือการประดับประดา หมายถึงการตกแต่งถ้อยคำให้ เหมาะเจาะเพริศพริ้งในแง่ต่าง ๆเพื่อความไพเราะทางภาษา การประดับประดาดังกล่าวนี้มีหลายแบบที่นับว่าสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ในการสร้างภาษาวรรณศิลป์ก็คือ
3.1  การสร้างจินตภาพ   ได้แก่  การใช้ถ้อยคำที่เด่นทั้งเสียง

และความหมายในการแต่งข้อความจนทำให้เห็นภาพเด่นชัดในจินตนาการ ทั้งนี้โดยไม่ต้องอาศัยการเปรียบเทียบ เป็นเครื่องช่วยเหลือแต่ประการใด ตัวอย่างเช่น

ก.  โอเวลาป่านฉะนี้ก็สายัณห์  คนทั้งหลายเขาเรียกกิน

อาหารบ้างก็เล้าโลมลูกหลานให้  อาบน้ำแล้วหลับนอน  แต่สองบังอร ของพ่อนี้ใครเขาจะปรานีให้นมน้ำ  ก็จะตรากตรำลำบากใจที่ไหน จะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่าทั้งไอแดดจะแผดเผาพุพอง จะชอกช้ำคล้ำเป็นหนองลงลามไหล

ข.  เสียงนกกรวิกนั้นไซร์    แลมีเสียงอันไพเราะมากถูกเนื้อ

พึงใจฝูงสัตว์ทั้งหลาย   แม้ว่าเสือจะเอาเนื้อไปกินก็ดี  ครั้งว่าได้ยินเสียง นกกรวิกนั้นร้อง  ก็ลืมเสีย แลมิอาจเอาเนื้อไปกินได้เลย  แลเม้นว่าเด็กอัน ท่านใส่ตีแลแล่นหนี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้องก็บมีรู้สึกที่จักแล่นหนี ได้เลย    แลว่านกทั้งหลายอันที่บินไปบนอากาศครั้งว่าได้ยินเสียงแห่ง นกกรวิกก็บมีรู้สึกที่จะบินไป ปลาในน้ำก็ดี ครั้นว่าได้ยินเสียงนกนั้นร้อง ก็บมิรู้สึกที่ว่าจะว่ายไปได้เลย  แลว่าเสียงแห่งนกกรวิก นั้นมันเพราะหนักหนา

3.2  การสร้างภาพพจน์  (Figvres of Speech)              

ได้แก่การใช้ถอยคำบรรยายหรือพรรณนาอย่างแจ่มแจ้ง จนกระทั่งอ่านหรือฟังแล้วและเห็นเป็นภาพเด่นชัด ทั้งนี้โดยอาศัย การเปรียบเทียบแบบต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยในการเปรียบเทียบมีหลาย แบบที่นับว่าใช้กันแพร่หลาย เช่น

3.2.1  การเปรียบเทียบอุปมา   คือ  การนำสิ่งหนึ่งที่รู้จัก

กันดีแล้วมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง  เพื่อให้เห็นภาพชัดหรือ เข้าใจดียิ่งขึ้นการเปรียบเทียบแบบนี้มีหลักอยู่ว่าจะต้องมีตัวเชื่อมคือ บุพบทหรือสันธานอยู่เสมอ ได้แก่คำว่า  เหมือน  ดัง  ราว  ราวกับเพียง เพียง  ดัง ปิ้ม   ปิ้ม่า  เฉกเช่น  ฉัน  เฉกเช่น  ประหนึ่ง  ประหนึ่งว่า  ดุจ ดุจดัง  ประดุจ  เสมอ  เสมอด้วย  เสมือน  เสมือนหนึ่ง  ปาน ปิ้มบ่าน  ปานหนึ่ง  พ่าง  พ่างเพียง  เปรียบ  ฯลฯ

3.2.2  การเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์

ได้แก่การเปรียบเทียบตรง ๆ  โดยใช้คำกริยา  “เป็น”  “หรือ” คือ นำหน้าคำหรือข้อความที่จะนำมาเปรียบ

3.2.3  การเปรียบเทียบแบบเกินความจริง  (โวหารอธิพจน์)

เป็นการพรรณนาที่เกินขอบเขตของความจริง  อาจจะเป็นไปไม่ได้หรือไม่มี ทางจะเป็นไปได้แต่แม้กระนั้นก็น่าฟังเพราะทำให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจ ทั้ง  ๆ  ที่รู้ว่าไม่เป็นจริง

3.2.4  บุคคลรัต   คือ ภาพพจน์ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ

โดยนำสิ่งที่ไม่มีชีวิตมากกล่าวให้มีกริยาอาการเหมือนคน  เช่น  ทะเลไม่เคยหลับ หยาดน้ำค้างเต้นระบำ  เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น

3.2.5  การใช้ภาษาสัญญลักษณ์   หมายถึง  การนำคำหนึ่งมา

ใช้แทนอีกคำหนึ่ง โดยถือว่าคำที่นำมาใช้แทนนั้น  ต้องมีลักษณะเป็นเครื่องหมาย หรือสัญญลักษณ์ที่รู้จักและเข้าใจความหมายกันในอย่างด ีเช่น  ฉัตรเป็น สัญญลักษณ์ของความเป็นใหญ่  หรือดวงใจ เป็นสัญญลักษณ์ของสิ่งอันเป็น ที่รักอย่างยิ่งดังนี้  เป็นต้น

(ก)   ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนราชย์  เยียววิวาทชิงฉัตร
(ข)   โอ้ว่าดวงใจอยู่ไกลลิบ เหลือจะหยิบมาชมภิรมย์ขวัญ
(ค)   น้าวมกุฎมานบ  น้อมพิภพมานอบ มอบบัวบาทวิบุล
3.2.6 สัทพจน์   คือ  การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ  เช่น ครืนครืนใช่ฟ้าร้อง เรียมครวญ
3.2.7 อัพภาส   คือ  การกร่อนคำซ้ำให้พยางค์หน้าเหลือเพียงสระอะ เช่น ระริก ระริก
3.2.8 ปฏิพากย์ คือ  การใช้คำตรงกันข้าม  เช่น “เสียงน้ำกระซิบสาดปราศจากเสียง   ลมหนาวพัดอ้าวจนหนาวเหน็บเจ็บกระดูก”
3.2.9  คำถามเชิงวาทศิลป์
-  คำถาม  ไม่ต้องการคำตอบ
-  ศรีสุวรรณมิใช้อาของเจ้าหรือ
-  วันนี้เรียนภาษาไทยไม่ใช่หรือ
-  วันนี้เรียนพละมิใช่หรือ